Cop24ย่อมาจากอะไร
Cop24 ย่อมาจากอะไร

การประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 (24th Conference of the Parties of United Nations Framework Climate Change Convention) หรือ COP 24 ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2562 ที่เมืองคาโตวีตเซ ประเทศโปแลนด์ ได้สิ้นสุดไปแล้วหลังจากที่ต้องยืดเวลาปิดการประชุมออกไป 2 วัน เพื่อขยายระยะเวลาในการเจรจา แต่ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติหลักเกณฑ์ใหม่ตามข้อตกลงปารีสที่ได้ลงนามกันตั้งแต่ปี 2558 ที่ทุกประเทศให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ท่ามกลางการประท้วงของกลุ่มต่างๆ เป็นระยะๆ หน้าสถานที่จัดประชุม
นางแพททรีเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC กล่าวว่า ความสำเร็จของการประชุมที่โปแลนด์แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นโรดแมปนำไปสู่การแก้ไขปัญหา Climate Change รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงการกระจายความรับชอบของประเทศต่างๆ ในโลก จากข้อเท็จจริงที่ว่า แต่ละประเทศมีกำลังและความสามารถ รวมทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน และเป็นการวางพื้นฐานให้เพิ่มความมุ่งมั่นได้มากขึ้นเมื่อมีความสามารถมากขึ้น แม้ยังมีบางส่วนที่ต้องทำงานในรายละเอียดอีกต่อไป แต่นับว่ามีการวางแนวทางการดำเนินงานให้เป็นระบบ
แนวทางปฏิบัติที่การประชุม COP24 ตกลงร่วมกัน ซึ่งบางประเทศเรียกว่า ประมวลกฎเกณฑ์ (Rulebook) นี้เพื่อสนับสนุนให้ภาคีสมาชิกเร่งความพยายามมากขึ้นในการช่วยกันลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งมีผลต่อประชากรโลกทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
นายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 กล่าวว่า ความสนใจของผู้เข้าประชุมทุกกลุ่มนำมาสู่ แผน Katowice Package ที่อยู่บนแนวทางความยั่งยืน แต่ที่สำคัญคือมีผลดีต่อโลก นับว่าเรามีก้าวย่างสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส
กฎเกณฑ์หลักๆของKatowice Packageได้แก่ กรอบการปฏิบัติที่โปร่งใส เพื่อส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างประเทศภาคีสมาชิก ในการดำเนินการแก้ไขปัญหา Climate Change โดยกำหนดแนวทางของประเทศภาคีในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนปฏิบัติ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการในการลดผลกระทบ
ทั้งนี้ ประเทศภาคีสมาชิกจะใช้แนวทางเดียวกันในการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำรายงาน และการยืนยันความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เนื่องจากเป็นแนวทางที่มั่นใจได้ว่าทุกประเทศมีการดำเนินการตามมาตรฐานและไม่มีการเบี้ยวข้อตกลง นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางที่เปิดให้ประเทศยากจนสามารถให้เหตุผลและนำเสนอแผนให้สอดคล้องกับกำลังความสามารถได้ หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ได้กำหนดแนวทางเพื่อเป้าหมายใหม่ของการระดมเงิน โดยเริ่มจากปี 2025 จะระดมเงินมากขึ้นจากที่วางไว้ว่าจะระดมเงินปีละ 100 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงปี 2020
ที่ประชุมยังตกลงที่จะให้ทุกประเทศประเมินผลและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา Climate Change ร่วมกันในปี 2023 รวมถึงแนวทางการติดตามและการรายงานความคืบหน้าของการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี
แม้ประสบความสำเร็จในการกำหนดกรอบการปฏิบัติขึ้น แต่ที่ประชุมไม่ประสบความสำเร็จในการขอให้ภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ให้การยอมรับ (welcome) ผลงานวิจัย ชื่อว่า Global Warming of 1.5°C ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ด้วยการสนับสนุนของสหประชาชาติได้ เนื่องจากมีประเทศใหญ่ 4 ประเทศคัดค้าน

4 ประเทศค้านไม่ยอมรับรายงาน IPCC
ก่อนการประชุมเริ่มขึ้น สหประชาชาติได้เผยแพร่รายงาน Emissions Gap Report 2018 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นรายงานที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นเตือนให้กับรัฐบาลและนักการเมืองของทุกประเทศเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือที่จะดำเนินการตามข้อตกลงให้บรรลุเป้าหมาย
สหประชาชาติตั้งใจที่จะนำรายงาน Emissions Gap Report 2018 และรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ซึ่งเผยแพร่ไปในเดือนตุลาคม มานำเสนอร่วมในการประชุม COP 24 ครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจที่เข้าร่วมประชุมนำไปปรับใช้ และเพื่อเตรียมส่งต่อไปยังการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2019
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ว่า ความตั้งใจที่จะนำรายงานของ IPCC เข้าสู่ที่ประชุมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีหลายประเทศคัดค้าน ทั้งสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ว่า ความตั้งใจที่จะนำรายงานของ IPCC เข้าสู่ที่ประชุมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีหลายประเทศคัดค้าน ทั้งสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต
รายงาน IPCC ได้เปิดตัวมาแล้วที่เกาหลีใต้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความตระหนักให้ผู้นำและฝ่ายการเมืองของปลายประเทศ เนื่องจากรายงาน Global Warming of 1.5°C มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบ ความเสี่ยงที่จะเกิดในอนาคต และทางเลือกในการแก้ไข
สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต คัดค้านไม่ให้ที่ประชุมยอมรับรายงานฉบับนี้ ตามที่มัลดีฟซึ่งเป็นประธานกลุ่มพันธมิตรประเทศที่เป็นเกาะได้เสนอ จากแรงสนับสนุนของ 47 ประเทศในสหภาพยุโรป แอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกาใต้ โดยทั้ง 4 ประเทศให้ที่ประชุมเพียงแค่บันทึก (take note of) ไว้ว่ามีรายงานฉบับนี้เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ซาอุดีอาระเบียยืนความเห็นคัดค้านจนวินาทีสุดท้ายในการเปิดรายงานฉบับนี้ที่เกาหลี เพื่อให้จำกัดบทสรุปของรายงาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น จึงได้มาคัดค้านอีกครั้งในการประชุม COP 24
การคัดค้านของทั้ง 4 ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเจรจาหารือเพื่อที่จะสรรหาคำที่ทุกฝ่ายเห็นพ้อง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปจากที่ประชุม ส่งผลให้ต้องถอนคำว่ายอมรับออกไปตามกฎของสหประชาชาติ เนื่องจากที่ประชุมไม่สามารถลงฉันทามติได้ ทำให้หลายประเทศสมาชิกแสดงความไม่พอใจและผิดหวังกับผลที่ออกมา
Ruenna Haynes จากประเทศเซนต์คิตส์และเนวิส (Saint Kitts and Nevis) กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นที่ว่า “จะใช้คำนี้หรือคำไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่าเรา หรือ UNFCCC อยู่ในสถานะที่จะยอมรับรายงานที่เราเป็นฝ่ายขอให้จัดทำขึ้นและเชิญนักวิทยาศาสตร์มาร่วมตั้งแต่แรก หากจะมีอะไรที่ทำให้การถกเถียงนี้เป็นสิ่งน่าอาย ก็คือการที่เราไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้”
คำพูดของ Haynes เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากที่ประชุม ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์และผู้ร่วมรณรงค์ต่างผิดหวังอย่างมากกับผลที่ออกมาก โดย Yamide Dagnet จาก World Resources Institute ให้ความเห็นว่า “เราโกรธมาก เพราะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่บางประเทศยกเลิกข้อความและละเลยต่อผลที่จะตามมา ด้วยการไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนและไม่ดำเนินการใดๆ ” แต่ก็หวังว่าประเทศอื่นๆ จะร่วมกันผลักดัน ซึ่งจะให้มีการตัดสินใจที่ตอบสนองต่อรายงาน และไม่ทำให้ COP 24 เป็นการประชุมที่เสียเปล่า
ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนให้ข้อมูลว่า ในการเปิดตัวรายงานที่เกาหลีเดือนตุลาคม ทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนรายงาน Global Warming of 1.5°C ซึ่งซาอุดีอาระเบียไม่สามารถปฏิเสธข้อมูลทางกายภาพได้ว่า สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
เอกสารกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะบันทึกว่ามีรายงาน และขอชื่นชมนักวิทยาศาสตร์ที่ได้จัดทำรายงานชิ้นนี้ขึ้น หากยอมรับก็เป็นการรับรองรายงานฉบับนี้ เพราะนั่นหมายถึงว่า การรับรองรายงานฉบับนี้ และที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้แสดงความชัดเจนต่อ IPCC และองค์กรอื่นแล้วว่า สหรัฐฯ จะไม่รับรองผลการศึกษาของรายงานนี้
การที่ที่ประชุมไม่สามารถให้ความเห็นยอมรับรายงาน Global Warming of 1.5°C ก็จะทำให้หลายประเทศละเลยผลการศึกษาของรายงาน IPCC มากขึ้น ทั้งๆ ที่รายงานระบุว่า การจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ให้เพิ่มขึ้นเกินระดับ 1.5 องศาเซลเซียสนั้น ต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต้องทำในสิ่งไม่เคยทำมาก่อนในทุกแง่มุมของสังคม
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าประชุมก็หวังว่าการประชุมในสัปดาห์ที่สองซึ่งจะมีผู้นำระดับรัฐมนตรีของหลายประเทศที่จะมาเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม จะให้ความสำคัญและพยายามมากขึ้นที่จะนำรายงานนี้กลับเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง
ประเทศส่วนใหญ่ยังห่างเป้าลดอุณหภูมิ
สำหรับรายงานEmissions Gap Report 2018 ที่เปิดเผยก่อนการประชุม COP 24 นั้นจัดทำบนพื้นฐานรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ที่ประเมินผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ครั้งที่ 9 เพื่อเปรียบเทียบระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่และไม่มีเงื่อนไข ระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่แต่มีเงื่อนไขเทียบกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ซึ่งเป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผล รวมทั้งความสม่ำเสมอ เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
NDC เป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานตามกรอบ UNFCCC
ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ยังห่างไกลจากเป้าหมาย (emission gap) ตามที่ข้อตกลงปารีสได้วางไว้ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ดำเนินการในขณะนี้ และเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง และการมีส่วนร่วมของประเทศที่ให้ไว้ ไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายในปี 2030 แม้ในทางเทคนิคมีความเป็นไปได้ที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสตามเป้าหมาย แต่โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายไม่ให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นน้อยมาก หากประเทศที่กำหนด NDC ไม่เพิ่มความมุ่งมั่นให้ได้ก่อนปี 2030
ดร.กุนนาร์ ลุดเดอเรอร์ จาก Potsdam Institute หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้กล่าวว่า “ยังมีช่องว่างกันมากระหว่างคำพูดกับการกระทำ ระหว่างเป้าหมายที่ตกลงกันของรัฐบาลทั่วโลกในการที่จะรักษาสภาพภูมิอากาศและมาตรการที่จะบรรลุเป้าหมาย”
ประเทศภาคีต้องเพิ่มความตั้งใจและมุ่งมั่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายของชาติเพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส เพราะนโยบายแห่งชาติมีความสำคัญในการที่จะแปลงความมุ่งมั่นเป็นการกระทำ และทุกประเทศจะต้องเพิ่มความพยายามความมุ่งมั่นให้มากขึ้นถึง 5 เท่า เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพราะขณะนี้โลกกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสเมื่อสิ้นศตวรรษนี้
การเพิ่มความมุ่งมั่นในบริบทนี้ อาจเป็นการผสมผสานระหว่างการตั้งเป้าหมาย การเตรียมพร้อมที่ปฏิบัติ และเพิ่มความสามารถที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ต่อเนื่อง
รายงาน Emissions Gap 2018 ระบุว่า จากการประเมินกลุ่มประเทศ G-20 ส่วนใหญ่กำลังดำเนินการไปสู่เป้าหมายปี 2020 ที่ให้ไว้ แต่มีหลายประเทศยังไม่ได้เริ่มดำเนินการตามคำมั่นที่ให้ไว้เพื่อบรรลุเป้าหมายปี 2030 แต่มีบางประเทศที่ดำเนินการไปแล้วและยังห่างไกลจากเป้าหมาย NDC ของปี 2030 เช่น อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา มีเพียง บราซิล จีน และญี่ปุ่นเท่านั้นที่การดำเนินการเป็นไปตามแผน ขณะที่ อินเดีย รัสเซีย และตุรกี มีทีท่าว่าจะทำได้สำเร็จก่อนกำหนด อย่างไรก็ตามรายงานเชื่อว่าประเทศที่บรรลุเป้าหมายนั้น เป็นเพราะวางเป้าไว้ต่ำ

ปล่อยก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้น 1.2% ในรอบ 4 ปี
รายงาน Emissions Gap 2018 เปิดเผยว่า ความพยายามของโลกที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังพลาดเป้า เพราะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยในช่วงปี 2014-2016 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมและการผลิตพลังงานอยู่ในสภาวะทรงตัว ขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวน้อย แต่ปี 2017 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 1.2% ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นน้อย แต่เป็นระดับสูงสุดใหม่ และต้องเทียบกับความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่กำหนดแนวทางไว้ในรายงานของ IPCC
การศึกษายังพบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ 57 ประเทศที่มีสัดส่วนรวม 60% เป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะแตะระดับสูงสุดภายในปี 2030
การที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 จะต้องต่ำกว่าระดับปัจจุบันถึง 25% เพื่อไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส หรือราว 19 กิกะตัน และต้องต่ำกว่าระดับปัจจุบันถึง 55% เพื่อไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นแนวทางที่มีผลต่อต้นทุนน้อยที่สุดอีกด้วย ที่สำคัญการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกจะต้องแตะระดับสูงสุดภายในปี 2020 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่กำหนดไว้
“หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ลดลงภายในปี 2030 การที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียสก็ไม่บรรลุผล”

โปแลนด์เสนอร่างปฏิญญา E-mobility
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์การประชุม COP24 ได้รายงานสรุปผลการประชุมสัปดาห์แรกจากการแถลงข่าวของนายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 รวมกับนางแพททริเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC

รวมกับนางแพททรีเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC ที่มาภาพ: https://cop24.gov.pl/news/news-details/news/president-of-cop24-we-are-closing-the-week-of-technical-negotiations/
นายกูร์ตีกากล่าวว่า การประชุม COP 24 มาได้ครึ่งทางแล้ว ซึ่งเป็นสัปดาห์แห่งการเจรจาด้านเทคนิค แต่มีความคืบหน้าเพราะตระหนักถึงความเร่งด่วน โดยที่ประชุมให้การยอมรับร่างปฏิญญาซิเลเซียว่าด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Solidarity and Just Transition Silesia Declaration) และความริเริ่ม Driving Change Together – Katowice Partnership for E-mobility ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้ประกาศเพิ่มเงินสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2 เท่าเป็น 200 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการประชุม COP 24 ที่ถกเถียงในประเด็นปัญหาการขาดเงินทุนสนับสนุน
เลขาธิการ UNFCCC กล่าวว่า การประชุมมีสัญญานที่ดีหลายด้าน โดยได้เห็นอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนทางการเงินต่อกองทุน Green Climate Fund เช่น เยอรมนีเพิ่มเงินสมทบเป็น 2 เท่า ขณะที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาหลายแห่งประกาศที่จะปรับแนวทางการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีสมากขึ้น
ในสัปดาห์แรกของการประชุม โปแลนด์ประเทศเจ้าภาพกับสหราชอาณาจักร ร่วมกันเสนอร่างปฏิญญา Driving Change Together – Katowice Partnership for E-mobility เพื่อส่งเสริมการขนส่งที่ใช้พลังงานฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ได้รับการตอบสนองทางบวกจากผู้เข้าร่วมประชุมหลายประเทศ โดยมี 40 ประเทศลงนามรับความริเริ่มนี้
ร่างปฏิญญา Driving Change Together ยังมีเป้าหมายที่จะเป็นหัวข้อของการหารือในการประชุม COP ครั้งต่อไป รวมทั้งเป็นการสร้างพันธมิตรนานาชาติทั้งระดับองค์กร รัฐบาลท้องถิ่น และระดับเมืองในการทำงานด้านรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยกระแสไฟฟ้า และตั้งเป้าที่จะประชุมร่วมกันทุกปี
โปแลนด์เองประกาศว่าจะใช้เงินราว 3-4 พันล้านยูโร หรือราว 3.4-4.5 พันล้านดอลลาร์ ลงทุนกับการขนส่งสาธารณที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ รวมทั้งซื้อรถเมล์ไฟฟ้าจำนวน 1,000 คัน
นอกจากนี้โปแลนด์ยังได้ตกลงเข้าร่วมเป็นภาคี UN Global Compact ซึ่งเป็นประเทศแรกในยุโรปกลางที่เข้าร่วม

ภาคการขนส่งเป็นภาคที่มีส่วนต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอย่างมาก จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องผลักดันการขนส่งที่ใช้พลังงงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า ทั้งนี้ รายงานภาคการขนส่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วน 1 ใน 4 ของปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลก หรือราว 8 กิกะตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 70% จาก 30 ปีก่อน ซึ่งรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ประเมินว่าปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ใช้รถยนต์โดยสารจำนวนกว่า 1 พันล้านคันบนท้องถนน และหากไม่ดำเนินการเร่งด่วนภายในปี 2040 จำนวนรถยนต์จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า
เลขาธิการสหประชาชาติ นายอันโตนิโอ กัวเตอร์เรส สนับสนุนร่างปฏิญญา Driving Change Together โดยกล่าวว่า เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ระบบการขนส่งที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนสนับสนุน การเพิ่มจำนวนรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าจะกระตุ้นความต้องการการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งก็จะมีผลต่อเนื่องไปยังทุกส่วนของระบบพลังงาน โดยเฉพาะในช่วงที่ความต้องการใช้สูงสุด และหากระบบขนส่งใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก็จะยิ่งสร้างปัญหามากขึ้นแทนที่จะแก้ปัญหา
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้น การลงทุนผลิตไฟฟ้าต้องมุ่งไปที่พลังงานทางเลือก ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งต้องมีระบบซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าก็มีโอกาสอย่างมาก เพียงต้องจัดการกับช่วงเปลี่ยนผ่านให้ดี เพื่อให้ได้ผลสูงสุดตามที่วางไว้
นายกัวเตอร์เรสกล่าวว่า หลายประเทศกำลังวางกรอบนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขนส่งที่ยั่งยืน จำนวนประเทศที่ประกาศแผนลดการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันลดลง และหันไปสู่รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น